สงครามครูเสด (The Crusades)
ในสมัยกลางได้เกิดสงครามระหว่างคริสต์ศาสนากับศาสนาอิสลามขึ้น เรียกว่า สงครามครูเสด สงครามครั้งนี้ได้ส่งผลกระทบอย่างกว้างขวางต่อชาวยุโรปและชาวมุสลิมในหลายด้านด้วยกัน
สาเหตุหลักที่ก่อให้เกิดสงครามครูเสด สรุปได้ดังนี้
สาเหตุทาางด้านศาสนา
1. สงครามครูเสดเป็นผลของความขัดแย้งกันเป็นเวลาช้านาน ระหว่างคริสตจักรทางภาคตะวันตกกับทางภาคตะวันออก ต่างฝ่ายต่างก็พยายามที่จะมีอำนาจเหนืออีกฝ่ายหนึ่ง โดยนำเสนอความเป็นผู้นำในการรบเพื่อทวงคืนดินแดนศักดิ์สิทธิ์ และหยุดยั้งการแพร่ขยายของศาสนาอิสลามที่เป็นไปอย่างรวดเร็วจนก่อให้เกิดความหวาดกลัวขึ้นทั่วไปในหมู่ชาวคริสเตียนในยุโรป ด้วยเหตุดังกล่าว ในศตวรรษที่ 11 ชาวคริสเตียนจึงได้ส่งกองกำลังมาปะทะกับมุสลิม
2. ความกระตือรือร้นในการแสวงบุญของชาวคริสเตียนยังนครเยรูซาเล็มมีมากกว่าที่เคยเป็นมา ในช่วงนั้น เยรูซาเล็มตกอยู่ภายใต้การปกครองของมุสลิม ผู้แสวงบุญชาวคริสเตียนจึงมีความต้องการดินแดนเยรูซาเล็มเป็นของตนเอง เพื่อความสะดวกในการแสวงบุญมากยิ่งขึ้น
3. ช่วงเวลาระหว่างนั้น เป็นระยะเวลาที่ระส่ำระสายอยู่ทั่วไปในยุโรป พวกเจ้าเมืองต่าง ๆ ต่างก็ต่อสู้ทำสงครามซึ่งกันและกัน พระสันตะปาปามีความเห็นว่า ถ้าปล่อยให้อยู่ในสภาพเช่นนี้ จะทำให้ชาวคริสเตียนในยุโรปต้องอ่อนแอลง เขาจึงยุยง ปลุกระดมให้ประชาชนหันมาต่อสู้กับชาวมุสลิมแทนโดยอ้างว่าจะได้รับกุศลผลบุญ และเพื่อเอานครอันศักดิ์สิทธิ์ "เยรูซาเล็ม" กลับคืนมา
4. มุสลิมได้กลายเป็นมหาอำนาจทางการค้าแถบชายฝั่งทะเลเมดิเตอร์เรเนียนตั้งแต่ศตวรรษที่ 10 เป็นต้นมา การค้าพาณิชย์ในทะเลเมดิเตอร์เรเนียนจึงตกอยู่ในความควบคุมของมุสลิมอย่างเต็มที่ ดังนั้น ชาวคริสเตียนในยุโรปจึงต้องทำสงครามกับมุสลิมเพื่อหยุดยั้งความเจริญก้าวหน้าของมุสลิม
5. สันตะปาปา เออร์แบนที่ 2 ประสงค์จะรวมคริสตจักรของกรีกมาไว้ใต้อิทธิพลของท่านด้วย จึงได้เรียกประชุมชาวคริสเตียนที่เมืองเลอมองส์ในภาคตะวันออกเฉียงใต้ของฝรั่งเศส เมื่อวันที่ 26 พฤศจิกายน ค.ศ. 1095 และรบเร้าให้ชาวคริสเตียน ทำสงครามกับชาวมุสลิม ท่านได้สัญญาว่าผู้ที่เข้าร่วมในการต่อสู้จะได้รับการยกเว้นจากบาปที่เคยทำมา และผู้ที่ตายในสงครามก็จะได้ขึ้นสวรรค์ ภายในเวลาไม่นานก็รวบรวมคนได้ถึง 150,000 คน ส่วนมากเป็นชาวแฟรงค์ (Frank) และนอร์แมน (Norman) คนเหล่านี้ได้มาชุมนุมกันที่เมืองเยรูซาเล็ม
สาเหตุทางด้านการเมือง
ในช่วงคริสต์ศตวรรษที่ 11 เกิดการเปลี่ยนแปลงในจักรวรรดิอาหรับเมื่อพวกเซลจุกเติร์ก (Seljuk Turk) ได้เข้าไปมีอำนาจในจักรวรรดิอาหรับซึ่งเป็นจักรวรรดิอิสลาม ต่อมาใน ค.ศ. 1071 กองทหารเซลจุกเติร์กรบชนะกองทหารจักรวรรดิไบแซนไทน์ในดินอดนอาร์เมเนียพวกเซลจุกเติร์กยึดครองคาบสมุทรตุรกีไว้ได้ทั้งหมด และรุกรานจักรวรรดิไบแซนไทน์ จักรพรรดิแห่งจักรวรรดิไบแซนไทน์ขอความช่วยเหลือไปยังคริสตจักรที่กรุงโรม สันตะปาปาเออร์บันที่ 2 (Urban II ค.ศ. 1088-1099) จึงเรียกประชุมขุนนางในยุโรปให้ไปช่วยจักรวรรดิไบแซนไทน์รบกับพวกเซลจุกเติร์ก
ส่วนการที่ชาวยุโยปตื่นตัวเข้ารวมในสงครามครูเสดก็เนื่องจากเหตุผลหลสยประการด้วยกัน ได้แก่
1. ชาวยุโยปสมัยกลางมีความศรัทธาในศาสนาอย่างแรงกล้า ทำให้ชาวยุโยปจำนวนมากเดินทางไปทำสงครามเพื่อปลดเปลื้องตนเองทางจิตวิญญาณ เนื่องจากสันตะปาปาทรงประกาศยกบาปให้กับผู้ที่ไปรบในสงครามครั้งนี้
2. บุคคลที่ไม่มีที่ดินในยุโรป โดยเฉพาะขุนนางในระดับล่างและสามัญชนที่ไม่มีที่ดินเป็นของตนเองต้องการจะครอบครองที่ดินในดินแดนตะวันออกกลาง
3. ประชาชนต้องการเสี่ยงโชค(ทาสชั้นล่างในระบบฟิวดัล)และผจญภัยเพื่อแสวงหาความมั่งคั่งในดินแดนตะวันออก
4. พวกพ่อค้าชาวอิตาลีต้องการขยายขอบข่ายการค้าขายไปยังดินแดนทางตะวันออกภายใต้การคุ้มครองของพวกคริสต์
5. การแข่งขันทางอำนาจระหว่างกษัตริย์กับขุนนาง กษัตริย์ต้องการให้พวกขุนนางลดจำนวนลงเพื่อครอบครองที่ดินของขุนนาง
สถานการณ์ของสงคราม
สงครามครูเสดเกิดขึ้นในระหว่าง ค.ศ. 1096-1291 มีระยะเวลาถึง 200 ปีและอยู่ในช่วงศตวรรษที่ 11-13 ในช่วงระยะเวลาดังกล่าวมีช่วงของการทำสงครามและการพักรบเป็นระยะๆ ในที่สุดสงครามครูเสดก็ยุติลงใน ค.ศ. 1291 เมืองอาเกร(Acre) ที่มั่นแห่งสุดท้ายของพวกครูเสดถูกกองทัพอียิปต์ยึดครอง นับเป็นความล้มเหลวทางทหารกองทัพยุโรปที่ไม่สามารถยึดครองกรุงเยรูซาเลมและดินแดนปาเลสไตน์จากจักรวรรดิมุสลิมได้
ผลกระทบของสงครามครูเสด
1. ระบบฟิวดัลเสื่อมลง สงครามครูเสดทำให้ขุนนางลดจำนวนเนื่องจากเสียชีวิตในสงครามขุนนางที่เหลือก็ยากจนลง สถาบันกษัตริย์จึงแข็งแกร่งขึ้น และพวกข้าที่ติดได้รับอิสระ
2. สงครามครูเสดทำให้การค้าขายตัวไปทั่วทั้งดินแดนภาคตะวันตกและดินแดนภาคตะวันออก สินค้าจากภาคตะวันออกได้เข้าไปแพร่หลายในยุโรป เช่น ผ้าไหม เครื่องเทศ
3. เมืองต่างๆ กลายเป็นศูนย์กลางทางการค้าที่มีความเจริญรุ่งเรือง เช่น นครรัฐในอิตาลี(เมืองฟอเรสต์ และเมืองเวนิส)
4. เมื่อการค้าขยายตัวส่งผลให้เมืองต่างๆ ขยายตัว และมีการนำแร่เงินและทองเข้ามาเผยแพร่ในยุโรป ทำให้การซื้อขายใช้ระบบเงินตราแทนที่การแลกเปลี่ยนสินค้า
5. ชนชั้นผู้นำของกองทัพครูเสดได้นำเอาอารยธรรมกรีก-โรมัน ทั้งจากดินแดนจักรวรรดิไบแซนไทน์และจักรวรรดิมุสลิมกลับเข้ามาเผยแพร่ในยุโรปอีกครั้ง
ผลของสงครามครูเสดต่อโลกตะวันตก
หลังจากนั้น พวกคริสเตียนได้ครองแผ่นดินที่พวกตนยึดครองได้กลายมาเป็นส่วนหนึ่งของอาณาจักรแห่งเยรูซาเล็ม บางเมืองมีอายุยืนยาวกว่า 200 ปี การเข้ามาอยู่ในดินแดนที่มีมุสลิมอาศัยอยู่โดยรอบทำให้พวกคริสเตียนและมุสลิมเกิดการรวมวัฒนธรรมกัน
พวกคริสเตียนประทับใจในศิลปะการตกแต่งของมุสลิม เช่น พรม เครื่องใช้และกระเบื้องเคลือบ และพวกเขายังได้กินอาหารรสชาติใหม่ ๆ เช่น ผลแอปริคอท มะเดื่อ น้ำตาลและมะนาว ทางด้านเครื่องแต่งกายชาวคริสเตียนได้เรียนรู้การใช้ผ้าฝ้ายและผ้าไหมทำเสื้อผ้า ทางด้านสถาปัตยกรรม พวกคริสเตียนได้เรียนรู้เรื่องการใช้เสาและคานรูปโค้งแบกรับน้ำหนักจากสิ่งที่ปลูกสร้างของมุสลิม นอกจากนี้แล้ว พวกคริสเตียนยังได้เรียนรู้ถึงวิธีการป้องกันปราสาทโดยการใช้หอคอยทรงกลม และช่องทางเดินบนกำแพงที่ทำให้คนที่อยู่ข้างบนสามารถยิงธนูหรือโยนหินเข้าใส่ผู้เข้ามาโจมตีได้ ส่วนพวกมุสลิมนั้นไม่ได้อะไรจากพวกคริสเตียนมากนักนอกจากการค้าที่เพิ่มขึ้นกับอิตาลี อาวุธที่ดีขึ้น และการสำรวจพื้นที่เพื่อทำการสงคราม
ที่มา
https://hilight.kapook.com/view/76761
thaigoodview.com, baanjomyut.com
สาเหตุทาางด้านศาสนา
1. สงครามครูเสดเป็นผลของความขัดแย้งกันเป็นเวลาช้านาน ระหว่างคริสตจักรทางภาคตะวันตกกับทางภาคตะวันออก ต่างฝ่ายต่างก็พยายามที่จะมีอำนาจเหนืออีกฝ่ายหนึ่ง โดยนำเสนอความเป็นผู้นำในการรบเพื่อทวงคืนดินแดนศักดิ์สิทธิ์ และหยุดยั้งการแพร่ขยายของศาสนาอิสลามที่เป็นไปอย่างรวดเร็วจนก่อให้เกิดความหวาดกลัวขึ้นทั่วไปในหมู่ชาวคริสเตียนในยุโรป ด้วยเหตุดังกล่าว ในศตวรรษที่ 11 ชาวคริสเตียนจึงได้ส่งกองกำลังมาปะทะกับมุสลิม
2. ความกระตือรือร้นในการแสวงบุญของชาวคริสเตียนยังนครเยรูซาเล็มมีมากกว่าที่เคยเป็นมา ในช่วงนั้น เยรูซาเล็มตกอยู่ภายใต้การปกครองของมุสลิม ผู้แสวงบุญชาวคริสเตียนจึงมีความต้องการดินแดนเยรูซาเล็มเป็นของตนเอง เพื่อความสะดวกในการแสวงบุญมากยิ่งขึ้น
3. ช่วงเวลาระหว่างนั้น เป็นระยะเวลาที่ระส่ำระสายอยู่ทั่วไปในยุโรป พวกเจ้าเมืองต่าง ๆ ต่างก็ต่อสู้ทำสงครามซึ่งกันและกัน พระสันตะปาปามีความเห็นว่า ถ้าปล่อยให้อยู่ในสภาพเช่นนี้ จะทำให้ชาวคริสเตียนในยุโรปต้องอ่อนแอลง เขาจึงยุยง ปลุกระดมให้ประชาชนหันมาต่อสู้กับชาวมุสลิมแทนโดยอ้างว่าจะได้รับกุศลผลบุญ และเพื่อเอานครอันศักดิ์สิทธิ์ "เยรูซาเล็ม" กลับคืนมา
4. มุสลิมได้กลายเป็นมหาอำนาจทางการค้าแถบชายฝั่งทะเลเมดิเตอร์เรเนียนตั้งแต่ศตวรรษที่ 10 เป็นต้นมา การค้าพาณิชย์ในทะเลเมดิเตอร์เรเนียนจึงตกอยู่ในความควบคุมของมุสลิมอย่างเต็มที่ ดังนั้น ชาวคริสเตียนในยุโรปจึงต้องทำสงครามกับมุสลิมเพื่อหยุดยั้งความเจริญก้าวหน้าของมุสลิม
5. สันตะปาปา เออร์แบนที่ 2 ประสงค์จะรวมคริสตจักรของกรีกมาไว้ใต้อิทธิพลของท่านด้วย จึงได้เรียกประชุมชาวคริสเตียนที่เมืองเลอมองส์ในภาคตะวันออกเฉียงใต้ของฝรั่งเศส เมื่อวันที่ 26 พฤศจิกายน ค.ศ. 1095 และรบเร้าให้ชาวคริสเตียน ทำสงครามกับชาวมุสลิม ท่านได้สัญญาว่าผู้ที่เข้าร่วมในการต่อสู้จะได้รับการยกเว้นจากบาปที่เคยทำมา และผู้ที่ตายในสงครามก็จะได้ขึ้นสวรรค์ ภายในเวลาไม่นานก็รวบรวมคนได้ถึง 150,000 คน ส่วนมากเป็นชาวแฟรงค์ (Frank) และนอร์แมน (Norman) คนเหล่านี้ได้มาชุมนุมกันที่เมืองเยรูซาเล็ม
สาเหตุทางด้านการเมือง
ในช่วงคริสต์ศตวรรษที่ 11 เกิดการเปลี่ยนแปลงในจักรวรรดิอาหรับเมื่อพวกเซลจุกเติร์ก (Seljuk Turk) ได้เข้าไปมีอำนาจในจักรวรรดิอาหรับซึ่งเป็นจักรวรรดิอิสลาม ต่อมาใน ค.ศ. 1071 กองทหารเซลจุกเติร์กรบชนะกองทหารจักรวรรดิไบแซนไทน์ในดินอดนอาร์เมเนียพวกเซลจุกเติร์กยึดครองคาบสมุทรตุรกีไว้ได้ทั้งหมด และรุกรานจักรวรรดิไบแซนไทน์ จักรพรรดิแห่งจักรวรรดิไบแซนไทน์ขอความช่วยเหลือไปยังคริสตจักรที่กรุงโรม สันตะปาปาเออร์บันที่ 2 (Urban II ค.ศ. 1088-1099) จึงเรียกประชุมขุนนางในยุโรปให้ไปช่วยจักรวรรดิไบแซนไทน์รบกับพวกเซลจุกเติร์ก
ส่วนการที่ชาวยุโยปตื่นตัวเข้ารวมในสงครามครูเสดก็เนื่องจากเหตุผลหลสยประการด้วยกัน ได้แก่
1. ชาวยุโยปสมัยกลางมีความศรัทธาในศาสนาอย่างแรงกล้า ทำให้ชาวยุโยปจำนวนมากเดินทางไปทำสงครามเพื่อปลดเปลื้องตนเองทางจิตวิญญาณ เนื่องจากสันตะปาปาทรงประกาศยกบาปให้กับผู้ที่ไปรบในสงครามครั้งนี้
2. บุคคลที่ไม่มีที่ดินในยุโรป โดยเฉพาะขุนนางในระดับล่างและสามัญชนที่ไม่มีที่ดินเป็นของตนเองต้องการจะครอบครองที่ดินในดินแดนตะวันออกกลาง
3. ประชาชนต้องการเสี่ยงโชค(ทาสชั้นล่างในระบบฟิวดัล)และผจญภัยเพื่อแสวงหาความมั่งคั่งในดินแดนตะวันออก
4. พวกพ่อค้าชาวอิตาลีต้องการขยายขอบข่ายการค้าขายไปยังดินแดนทางตะวันออกภายใต้การคุ้มครองของพวกคริสต์
5. การแข่งขันทางอำนาจระหว่างกษัตริย์กับขุนนาง กษัตริย์ต้องการให้พวกขุนนางลดจำนวนลงเพื่อครอบครองที่ดินของขุนนาง
สถานการณ์ของสงคราม
สงครามครูเสดเกิดขึ้นในระหว่าง ค.ศ. 1096-1291 มีระยะเวลาถึง 200 ปีและอยู่ในช่วงศตวรรษที่ 11-13 ในช่วงระยะเวลาดังกล่าวมีช่วงของการทำสงครามและการพักรบเป็นระยะๆ ในที่สุดสงครามครูเสดก็ยุติลงใน ค.ศ. 1291 เมืองอาเกร(Acre) ที่มั่นแห่งสุดท้ายของพวกครูเสดถูกกองทัพอียิปต์ยึดครอง นับเป็นความล้มเหลวทางทหารกองทัพยุโรปที่ไม่สามารถยึดครองกรุงเยรูซาเลมและดินแดนปาเลสไตน์จากจักรวรรดิมุสลิมได้
ผลกระทบของสงครามครูเสด
1. ระบบฟิวดัลเสื่อมลง สงครามครูเสดทำให้ขุนนางลดจำนวนเนื่องจากเสียชีวิตในสงครามขุนนางที่เหลือก็ยากจนลง สถาบันกษัตริย์จึงแข็งแกร่งขึ้น และพวกข้าที่ติดได้รับอิสระ
2. สงครามครูเสดทำให้การค้าขายตัวไปทั่วทั้งดินแดนภาคตะวันตกและดินแดนภาคตะวันออก สินค้าจากภาคตะวันออกได้เข้าไปแพร่หลายในยุโรป เช่น ผ้าไหม เครื่องเทศ
3. เมืองต่างๆ กลายเป็นศูนย์กลางทางการค้าที่มีความเจริญรุ่งเรือง เช่น นครรัฐในอิตาลี(เมืองฟอเรสต์ และเมืองเวนิส)
4. เมื่อการค้าขยายตัวส่งผลให้เมืองต่างๆ ขยายตัว และมีการนำแร่เงินและทองเข้ามาเผยแพร่ในยุโรป ทำให้การซื้อขายใช้ระบบเงินตราแทนที่การแลกเปลี่ยนสินค้า
5. ชนชั้นผู้นำของกองทัพครูเสดได้นำเอาอารยธรรมกรีก-โรมัน ทั้งจากดินแดนจักรวรรดิไบแซนไทน์และจักรวรรดิมุสลิมกลับเข้ามาเผยแพร่ในยุโรปอีกครั้ง
ผลของสงครามครูเสดต่อโลกตะวันตก
หลังจากนั้น พวกคริสเตียนได้ครองแผ่นดินที่พวกตนยึดครองได้กลายมาเป็นส่วนหนึ่งของอาณาจักรแห่งเยรูซาเล็ม บางเมืองมีอายุยืนยาวกว่า 200 ปี การเข้ามาอยู่ในดินแดนที่มีมุสลิมอาศัยอยู่โดยรอบทำให้พวกคริสเตียนและมุสลิมเกิดการรวมวัฒนธรรมกัน
พวกคริสเตียนประทับใจในศิลปะการตกแต่งของมุสลิม เช่น พรม เครื่องใช้และกระเบื้องเคลือบ และพวกเขายังได้กินอาหารรสชาติใหม่ ๆ เช่น ผลแอปริคอท มะเดื่อ น้ำตาลและมะนาว ทางด้านเครื่องแต่งกายชาวคริสเตียนได้เรียนรู้การใช้ผ้าฝ้ายและผ้าไหมทำเสื้อผ้า ทางด้านสถาปัตยกรรม พวกคริสเตียนได้เรียนรู้เรื่องการใช้เสาและคานรูปโค้งแบกรับน้ำหนักจากสิ่งที่ปลูกสร้างของมุสลิม นอกจากนี้แล้ว พวกคริสเตียนยังได้เรียนรู้ถึงวิธีการป้องกันปราสาทโดยการใช้หอคอยทรงกลม และช่องทางเดินบนกำแพงที่ทำให้คนที่อยู่ข้างบนสามารถยิงธนูหรือโยนหินเข้าใส่ผู้เข้ามาโจมตีได้ ส่วนพวกมุสลิมนั้นไม่ได้อะไรจากพวกคริสเตียนมากนักนอกจากการค้าที่เพิ่มขึ้นกับอิตาลี อาวุธที่ดีขึ้น และการสำรวจพื้นที่เพื่อทำการสงคราม
ที่มา
https://hilight.kapook.com/view/76761
thaigoodview.com, baanjomyut.com
หนังสือเรียนประวัติศาสตร์สากล ม.6
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น